เทศบาลเมืองลำพูน ร่วมอบรมหลักสูตร “เมืองเศรษฐกิจใหม่จากฐานมรดกทางประวัติศาสตร์”

วันที่ 12 มีนาคม 2568 หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่(บพท.) ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว สถาบันวิจับพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดโครงการยกระดับและสนับสนุนองค์ความรู้เมืองต้นแบบเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดด้วยแนวคิดเมืองเศรษฐกิจสีเขียว เมืองเศรษฐกิจใหม่จากฐานมรดกทางประวัติศาสตร์และเมืองสุขภาวะ ภายใต้แผนงาน พัฒนาเมืองน่าอยู่ที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาร 2567 เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับนักพัฒนาเมือง และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถบริหารจัดการแหล่งมรดกทางประวัติศาสตร์ให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
ดร.กรวรรณ สังขกร หัวหน้าโครงการ การยกระดับและสนับสนุนองค์ความรู้เมืองต้นแบบเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ ที่ชาญฉลาด ได้กล่าวรายงานการจัดอบรม โดยมี นายประภัสร์ ภู่เจริญ นายกเทศมนตรีเมืองลำพูน กล่าวเปิดโครงการอบรมในครั้งนี้ พร้อมนำคณะผู้บริหาร ผู้อำนวยการกอง พนักงานเทศบาล พนักงานครู และพนักงานจ้างของเทศบาลเมืองลำพูน เข้าร่วมอบรม ซึ่งประกอบไปด้วยหัวข้อที่น่าสนใจ ดังนี้
.
– การจัดการท่องเที่ยวมรดกทางประวัติศาสตร์ (Hiatorical Heritage Tourism Management) โดย ดร.ศันสนีย์ กระจ่างโฉม
– การสร้างแบรด์ (Branding)และการเล่าเรื่อง (Storytelling) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวมรดกทางประวัติศาสตร์ โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิธีกร และนักวิเคราะห์ข่าว
– การจัดการท่องเที่ยวมรดกทางประวัติศาสตร์ (Historical Heritage Tourirm Management) โดย ดร.เผชิญวาส ศรีชัย
– การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจของโครงการระยะสั้น โดย อ.ดร.ชลระดา หนันติ๊ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
.
การอบรมดังกล่าวเป็นการมุ่งเน้นการบริการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงมรดกทางวัฒนธรรมทั้งในด้านการอนุรักษ์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าให้กับนักท่องเที่ยว โดยอาศัยหลักการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของชุมชน นอกจากนี้ การสร้างอัตลักษณ์ให้กับแหล่งมรดกทางประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่สำคัญที่ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ การออกแบบกลยุทธ์ การสร้างแบรนด์เพื่อทำให้แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมมีความโดดเด่น น่าสนใจ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว รวมถึงการใช้เทคนิคการเล่าเรื่องเพื่อถ่ายทอดคุณค่าทางประวัติศาสตร์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
******************************************************************************************************************